รายงานวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Beat Pracice) เรียนรู้โครงงานสร้างสรรค์ศักยภาพผู้เรียน โดยใช้เทคนิค PLE.PS Model





การนำเสนอผลงาน/วิธีที่ปฏิบัติเป็นเลิศ (Best Practice)

ชื่อ Best Practice        เรียนรู้โครงงาน สร้างสรรค์ศักยภาพผู้เรียน
ชื่อผู้เสนอผลงาน        นางปานวรินทร์  ทรงกำพล ตำแหน่ง ครู
                                       โรงเรียนบ้านชีวึก (สังฆประชาสรรค์)   อำเภอขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา 
                                         สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 5                                    
       โทรศัพท์มือถือ 08-3368-8956                       
                                        e-mail. Ple.panwarin@hotmail.com

1.              ที่มา ความสำคัญของปัญหา
1.1      ความเป็นมาและสภาพปัญหา
                        การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียน     มีความรู้
  ความสามารถ มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ดี  โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด  และ     ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้  กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ  คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล  เน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้  และคุณธรรม  ผู้สอนต้องสรรหากระบวนการเรียนรู้  การออกแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับศักยภาพและบริบทของผู้เรียน  ให้ความสำคัญกับการใช้สื่อ  การพัฒนาสื่อ  การใช้แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการวัดและประเมินผลที่หลากหลายและนำผลที่ได้ใช้เป็นข้อมูลเพื่อพัฒนา จัดการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดต่อผู้เรียน                                                                                            
1.2 แนวทางการแก้ไขและพัฒนา

   การเรียนรู้โครงงาน เป็นกิจกรรมการสอนรูปแบบหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามหัวข้อเรื่องที่ตนสนใจสงสัย หาคำตอบโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์   จากแหล่งความรู้และสรุปความรู้ด้วยตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กกลายเป็นผู้ชอบแสวงหาความรู้และเกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตความสำเร็จของการจัดกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานมาเป็นแนวทางจัดการเรียนรู้ของนักเรียนจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า หากโรงเรียนหรือครูเปิดโอกาสให้นักเรียนได้  เรียนในสิ่งที่ตนอยากเรียน ได้คิดเอง ทำเอง ทุกขั้นตอนแล้ว เด็กจะเกิดความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างแตกฉานสามารถนำความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในอนาคตและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
    วัตถุประสงค์
    1  เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้สูงขึ้น
                    2   เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาโดยใช้กระบวนการ
        ทางวิทยาศาสตร์
      3  เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ สนใจใฝ่รู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และกล้า
             แสดงออกอย่างมั่นใจ
   4   เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียนที่มีความรู้ ความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์
         ด้วยวิธีการ  และรูปแบบที่หลากหลาย ตามความถนัด และความสนใจของนักเรียนรวมทั้ง
         สนับสนุนการ   แข่งขันเพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางด้านวิทยาศาสตร์

                          กระบวนการผลิตผลงาน/ขั้นตอนของการพัฒนา Best  Practice
          1  วางแผนเรียนรู้ (Plan)  |
       1.1    ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรทำกำหนดการสอนเพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้
       1.2   จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยแทรกความรู้การทำโครงงาน พูดชักนำเกี่ยวเนื่อง
   ถึงกิจกรรมโครงงาน ตามลำดับคือ
       1.3    กระตุ้นให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของโครงงาน (ให้ผู้เรียนดูวีดิทัศน์เกี่ยวกับ 
   โครงงาน ให้ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการทำโครงงานมาเป็นวิทยากร ผู้สอนพูด
    กระตุ้นโดยเล่าประสบการณ์ให้ผู้เรียนฟัง จัดนิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์
       1.4    ให้ความรู้เรื่องโครงงานแก่ผู้เรี

2    การจัดกิจกรรมการเรียนรู้  (Do) การเรียนรู้โครงงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
  ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงงาน
                      เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจในเรื่องที่จะเรียนรู้ให้เกิดในตัวผู้เรียน แล้วตกลงร่วมกันเลือกเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อทำการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป โดยสร้างความสนใจให้เกิดกับผู้เรียน ดังนี้               ระยะที่ 2 ขั้นพัฒนาโครงาน                                                                                                                              
             เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาสนใจ (ที่เขาร่วมกันกำหนดเป็นหัวข้อเรื่อง) แล้วตั้งสมมติฐานมาตอบคำถามเหล่านั้น ทดสอบสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติ จนค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ตามขั้นตอนดังนี้
v ผู้เรียนกำหนดปัญหาที่จะศึกษา
v ผู้เรียนตั้งสมมติฐานเบื้องต้น
v ผู้เรียนตรวจสอบสมมติฐานเบื้องต้น
v  สรุปข้อความรู้จากผลการตรวจสอบสมมติฐาน
             กรณีที่ผลการตรวจสอบไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ผู้สอนให้กำลังใจผู้เรียนในการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ตำหนิหรือกล่าวโทษ กระตุ้นให้ผู้เรียนมีกำลังใจและสามารถตั้งสมมติฐานใหม่ได้
             กรณีที่ผลการตรวจสอบเป็นไปตามสมมติฐาน ให้ผู้เรียนสรุปองค์ความรู้จากการที่เขาค้นพบด้วยการลงมือปฏิบัติของเขาเอง
v เมื่อเขาได้องค์ความรู้ใหม่แล้ว ผู้เรียนจะนำองค์ความรู้นั้นไปใช้ในการทำกิจกรรมตามความสนใจของเขาต่อไปได้
v เด็กอาจใช้ความรู้ที่ค้นพบเป็นพื้นฐานของการกำหนดประเด็นปัญหาขึ้นมาใหม่เพื่อกำหนดเป็นโครงงานย่อย ศึกษารายละเอียดในเรื่องนั้นต่อไปอีก
ระยะที่ 3 ขั้นรวบรวมสรุป
              เป็นระยะสุดท้ายของโครงงานที่ผู้เรียนค้นพบคำตอบของปัญหาแล้ว และเด็กได้แสดงให้ผู้สอนเห็นว่าได้สิ้นสุดความสนใจในหัวข้อโครงงานเดิม และเริ่มหันเหความสนใจออกไปสู่เรื่องใหม่ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้แบ่งปันประสบการณ์การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการทำงานตลอดโครงงานแก่คนอื่น ๆ มีกิจกรรมที่ดำเนินการในขั้นตอนนี้ ดังนี้

                          (1.) ให้ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็ก ๆ
                          (2.)    นำเสนอเป็นนิทรรศการ (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้อื่นรู้
                          (3.)   สรุปนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ระยะที่   4 ขั้นตอนการพัฒนานักเรียนสู่ความเป็นเลิศด้านโครงงานวิทยาศาสตร์              เป็นระยะสุดท้ายของโครงงานที่ผู้เรียนค้นพบคำตอบของปัญหาแล้ว และเด็กได้แสดงให้ผู้สอนเห็นว่าได้สิ้นสุดความสนใจในหัวข้อโครงงานเดิม และเริ่มหันเหความสนใจออกไปสู่เรื่องใหม่ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้สอนและผู้เรียนจะได้แบ่งปันประสบการณ์การทำงานและแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการทำงานตลอดโครงงานแก่คนอื่น ๆ มีกิจกรรมที่ดำเนินการในขั้นตอนนี้ ดังนี้
                          (1.) ให้ผู้เรียนเขียนรายงานเป็นรูปแบบงานวิจัยเล็ก ๆ
                          (2.)    นำเสนอเป็นนิทรรศการ (แสดงเป็นแผงโครงงาน) ให้ผู้อื่นรู้
                          (3.)   สรุปนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ขั้นตอนที่ 1)  วางแผนการเรียนรู้ (Planning)  เป็นการดำเนินงานโดยร่วมคิดร่วมทำของกลุ่ม   นักเรียนและครูที่ปรึกษา  เพื่อวางแผนการจัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์   และดำเนินการเขียนเค้าโครง  โครงงานวิทยาศาสตร์
ขั้นตอนที่ 2)  สู่แหล่งภูมิปัญญา (learning)  แหล่งเรียนรู้เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง  เพราะต้องมีการสืบค้นข้อมูล  เพื่อให้ได้คำตอบของโครงงานวิทยาศาสตร์  มีการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ตามหมู่บ้าน อินเตอร์เน็ต  ห้องสมุดประชาชน  ห้องสมุดโรงเรียน  ภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3)  พัฒนาสร้างสรรค์ (Experiment)  นำความรู้ที่ได้จากการวางแผนการเรียนรู้  สู่แหล่ง       ภูมิปัญญา มาดำเนินการทดลอง  มาจัดทำโครงงานตามแผนที่วางไว้  แล้วทดสอบความเป็นไปได้  พร้อมทั้งบันทึกผล  เขียนรายงานผลตามแบบฟอร์มของโครงงาน
ขั้นตอนที่ 4)  ผลงานเผยแพร่ (Publicizing)  เข้าร่วมแข่งขันทักษะวิชาการจากหน่วยงานอื่น ๆ       เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานนักเรียนและครูที่ปรึกษา พร้อมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของโรงเรียน   ทำให้โรงเรียนมีชื่อเสียงและเป็นโรงเรียนแห่งการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 5)  แลกเปลี่ยนประสบการณ์ (Sharing)  เมื่อโรงเรียนมีชื่อเสียงด้านโครงงานวิทยาศาสตร์ มีการจัดแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์และผลงานต่าง ๆ พร้อมทั้งชวนให้บุคลากรภายนอก       หรือโรงเรียนอื่น ๆ มาศึกษาดูงานในโรงเรียน
3.3   การทบทวน กลั่นกรอง ตรวจสอบผลการดำเนินงาน (Check)
                    
3.3. 1 ประเมินความรู้เกี่ยวกับโครงงาน  ทักษะกระบวนการทำงานตามขั้นตอนจากผลงานของนักเรียนโดยใช้การสังเกต สอบถาม ตรวจผลงาน
                     
3.3.2  ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
                     
3.3.3  ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์
                    
3.3.4  ประเมินผลงานจากการแข่งขันกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์กับหน่วยงานที่เข้าร่วม
3.4   การปรับปรุง และแก้ไขปัญหา (Action)
                    3.4.1  ประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนา
                    
3.4. 2  รายงานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
                    
3.4.3   รายผลการปฏิบัติงาน
                    
3.4.4   รายงานผลการจัดทำโครงงานที่เป็นเลิศ






บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง สรรค์สร้างงานพิมพ์ ด้วยหมึกอิงค์เจ็ทสุดประหยัด






บทคัดย่อ

โครงงานสรรค์สร้างงานพิมพ์ ด้วยหมึกอิงค์เจ็ทสุดประหยัด มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสารสี และ      ตัวทำละลายชนิดต่างๆ ที่เหมาะสมในการผลิตหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทจากวัสดุที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพง มีในท้องถิ่น และเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ผลิตขึ้นกับหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ขายตามท้องตลาด การศึกษาแบ่งออกเป็น  3  ขั้นตอน ดังนี้
               ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาชนิดของสารที่นำมาผลิตเป็นหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท พบว่า สารที่มีความเหมาะสมในการนำมาทำเป็นหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท คือ สีผสมอาหาร สีเหลือง  สีฟ้า , สีชมพู และสีดำ
               ขั้นตอนที่ 2  การศึกษาตัวทำละลายที่เหมาะสมในการทำน้ำหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท พบว่า ตัวทำละลายแอลกอฮอล์ 95%  เหมาะสมที่จะทำหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ท  เพราะให้หมึกที่มีคุณภาพมากที่สุด
              ขั้นตอนที่ 3  การเปรียบเทียบคุณภาพของหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ผลิตขึ้นกับหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ขายตามท้องตลาด พบว่า หมึกพิมพ์ที่ผลิตขึ้นมีคุณสมบัติและคุณภาพใกล้เคียงกับหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ดังนั้นหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ผลิตขึ้นจากวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นจึงสามารถนำมาใช้ในงานคอมพิวเตอร์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อหมึกพิมพ์อิงค์เจ็ทที่มีราคาแพง และสามารถทำได้ง่ายด้วยตนเอง


บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การผลิตแอลกอฮอล์แข็งจากไขมันชนิดต่าง ๆ



บทคัดย่อ

โครงงานการผลิตแอลกอฮอล์แข็งจากไขมันชนิดต่าง ๆ  เป็นการศึกษาวิธีการทำแอลกอฮอล์แข็งโดยใช้ไขมันชนิดต่าง ๆ เป็นตัวทำให้เกิดพลังงาน และมีส่วนผสมของเอทานอล  ซึ่งไม่เป็นพิษต่อร่างกาย  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ   (1)  เพื่อศึกษาลักษณะของแอลกอฮอล์ที่แข็งจากไขมันชนิดต่าง ๆ  (2) เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลาการเผาไหม้ พลังงานความร้อน และอุณหภูมิของน้ำที่ต้ม ของแอลกอฮอล์แข็งจากไขมันชนิดต่าง ๆ  (3) เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลาการเผาไหม้ พลังงานความร้อน และอุณหภูมิของน้ำที่ต้ม ของแอลกอฮอล์แข็งที่ผลิตขึ้นเองกับแอลกอฮอล์แข็งที่ขายตามท้องตลาด  (4 )เพื่อศึกษาความพึงพอใจกลิ่นสมุนไพรของแอลกอฮอล์แข็งที่ผลิตขึ้นเอง
จากการศึกษาพบว่า  ไขมันสามารถนำมาผลิตแอลกอฮอล์แข็งได้และที่เหมาะสมที่จะนำมา

ทำแอลกอฮอล์แข็งมากที่สุด คือ ไขมันจากน้ำมันทอดซ้ำ เพราะมีระยะเวลาในเผาไหม้นาน ให้อุณหภูมิในการ  ต้มน้ำสูงกว่าแอลกอฮอล์แข็งที่ขายตามท้องตลาดและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถผสมสี   และกลิ่นได้ตามความพึงพอใจ กลิ่นที่ได้รับความพึงพอใจมากที่สุด คือ กลิ่นตะไคร้หอม รองลงมาคือ กลิ่นยูคาลิปตัส กลิ่นมะกรูด กลิ่นส้ม และกลิ่นใบเตย

บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง ดินน้ำมันสร้างสรรค์งานปั้น





ชื่อโครงงาน        ดินน้ำมันสร้างสรรค์งานปั้น
                       (Creative Art With Plasticine )
ชื่อนักเรียน         เด็กหญิงศุจินธร  มะเริงสิทธิ์                       เด็กหญิงณัฏฐยา  ม่านกลาง
                      โรงเรียนบ้านชีวึก (สังฆประชาสรรค์) 
 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา                               นครราชสีมา เขต 5
ระดับชั้น            ช่วงชั้นที่ 2ชื่อครูที่ปรึกษา        นางปานวรินทร์  ทรงกำพล                           นางสาววาสนา  โหงขุนทดชื่อผู้อำนวยการโรงเรียน   นายประมวล  สุวรรณบุบผา                                  ปี พ.ศ.  2554

บทคัดย่อ

โครงงานดินน้ำมันสร้างสรรค์งานปั้น เป็นการศึกษาวิธีการทำดินน้ำมันขึ้นใช้เอง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อดินน้ำมันมาใช้ในการเรียนวิชาต่าง ๆ  โดยมีวัตถุประสงค์   (1) เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการทำดินน้ำมัน (2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของดินน้ำมันที่ผสมน้ำมันชนิดต่าง ๆ (3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของดินน้ำมันที่ผสมน้ำมันเครื่องชนิดต่าง ๆ  (4) เพื่อเปรียบเทียบคุณภาพของดินน้ำมันที่ผลิตขึ้นเองกับดินน้ำมันที่ขายตามท้องตลาด  

จากการศึกษาพบว่า   อัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่าง ดินสอพอง พาราฟิน น้ำมันเครื่อง คือ 5 : 1 : 1 ดินน้ำมันที่ผสมน้ำมันเครื่องมีคุณภาพดีกว่าดินน้ำมันที่ผสมน้ำมันชนิดอื่น ๆ และน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมในการทำดินน้ำมันเป็นชนิด น้ำมันเครื่อง เบอร์ 50 ดินน้ำมันที่ผลิตขึ้นเองมีคุณภาพใกล้เคียงกับดินน้ำมันที่ขายตามท้องตลาด และมีราคาถูกกว่าดินน้ำมันที่ขายตามท้องตลาดเป็นอย่างมาก